แบรนด์ Diptyque ( ดิปทีค ) เป็นแบรนด์เทียนหอม และน้ำหอม Niche จากปารีส เป็นที่นิยมยาวนานและเพิ่งฉลองครบรอบ 60 ปีในปี 2021 นี้ เราคงคุ้นตาขวดน้ำหอมรูปวงรีดีไซน์สวยสะดุดตา และลายเส้นสเก็ตช์ภาพวาดทิวทัศน์ธรรมชาติด้วยหมึกดำ ที่เป็นเอกลักษณ์ไม่เหมือนใคร ถึงแม้ทุกวันนี้ Diptyque จะดังเรื่องน้ำหอมมาก ในความเป็นจริงแล้ว Diptyque ไม่ได้เริ่มต้นมาจากน้ำหอม แต่เริ่มจากการทำธุรกิจสิ่งทอ ( textile ) วันนี้ Better จะพาไปดูวิธีคิดที่แตกต่างในการออกแบบกลิ่น ทำให้ Diptyque มีลายเซ็นของกลิ่นที่ชัด และแฟน ๆ ไม่ได้รักแค่กลิ่นหอม แต่รวมถึงวิธีคิดของแบรนด์
“We were artists. We were not driven by money or ambition, but, rather, by passion, imagination, creativity and the desire to do something with true integrity.”
— CHRISTIANE MONTADRE-GAUTROT
จากการออกแบบลายผ้ามาสู่การออกแบบกลิ่น
เรื่องราวของแบรนด์ Diptyque เริ่มด้วย passion ของกลุ่มเพื่อนศิลปินทั้ง 3 คน Christiane Gautrot ( นักออกแบบตกแต่งภายใน ), Desmond Knox-Leet ( จิตกร ) และ Yves Coueslant ( ผู้ออกแบบฉากในโรงละคร ) ทั้งสามชื่นชอบในศิลปะและมีรสนิยมที่ดีตามแบบฉบับศิลปินปารีเซียง ร้าน Diptyque เริ่มจากการเป็นนักออกแบบลายผ้า ที่เปิดร้านขายผ้าสำหรับการออกแบบตกแต่งภายใน แต่ผู้คนจำนวนมากกลับให้ความสนใจกับการตกแต่ง window display และของตกแต่งในร้าน ลูกค้าจำนวนมากเดินเข้าร้านมาเพื่อขอซื้อของตกแต่งเหล่านั้นแทน ซึ่งของต่าง ๆ ได้มาจากเก็บสะสม จากการเดินทางท่องเที่ยวของทั้งสาม ทางร้านจึงเริ่มมาขายของกระจุกกระจิก เป็น Selected Shop ที่ของทุกชิ้นถูกคัดเลือกมาจัดวางอย่างสวยงาม มีเรื่องราวและมีสไตล์ และกลายเป็นร้านที่คนจะมาเลือกหาของขวัญ เพราะเชื่อในรสนิยมของ Diptyque เสียแล้ว
FUN FACT : ชื่อแบรนด์ Diptyque มาจากภาษากรีกโบราณ (δίπτυχος) หมายถึงภาพวาดที่เป็นภาพ 2 แผ่นติดคู่กัน ซึ่งก็มีที่มาจาก facade หน้าร้านแห่งแรกที่เป็นร้านหัวมุมมี Window Dispaly 2 ด้านเหมือนภาพเขียนที่วางคู่กัน ในขณะเดียวกันของข้างในร้านก็เปรียบดังงานศิลปะบนผืนผ้าใบ
เมื่อศิลปินทำน้ำหอม - เริ่มด้วยโจทย์ที่แตกต่าง
กลิ่นหอมแรกที่ Diptyque ทำคือเทียนหอม ด้วยวิธีคิดที่ต่างออกไปจากนักปรุงน้ำหอมอาชีพ แต่เป็นการคิดในมุมศิลปิน โจทย์ของการออกแบบกลิ่นเทียนหอมที่ทั้งสามตั้งกันขึ้นมานั้น คือ การออกแบบกลิ่นที่แสดงถึงสีและลายผ้าคอลเล็คชั่นหนึ่งของพวกเขา นี่เป็นจุดกำเนิดการสร้างสรรค์กลิ่นจากภาพและสัมผัสอื่น ๆ โดยเทียนหอม 3 กลิ่น ที่ออกมาจากโจทย์นี้ ใช้กลิ่นที่แปลกไปจากกลิ่นที่เขาใช้กันในสมัยนั้น มีกลิ่นชา กลิ่นอบเชย และพืชสมุนไพร ถือเป็นการเปิดตัวเทียนหอม Diptyque ครั้งแรกด้วยกลิ่นที่แตกต่างอย่างมีเอกลักษณ์
เก็บกลิ่นและความทรงจำจากที่ต่าง ๆ ใส่กล่องมาด้วย
ผู้ก่อตั้งทั้ง 3 ของ Diptyque ไม่ใช่แค่เพื่อนร่วมงาน แต่เป็นเพื่อนรักที่รู้ใจกัน ครั้งหนึ่งเมื่อ Desmond ไปเที่ยวประเทศกรีซ ของฝากที่เขานำมาฝาก Christiane ไม่ใช่ขนมหรือสินค้าที่ระลึก กลับกลายเป็นการเก็บชิ้นส่วนจากธรรมชาติแทนความทรงจำของทริปนั้นใส่กล่องไปฝาก เขาเก็บสิ่งที่ขาพบเจอไม่ว่าจะเป็น ใบมะเดื่อ ก้อนหิน ก้อนกรวด เศษเซรามิค เลือกหอย จากเมืองต่าง ๆ ที่เขาไป ทำเป็นการเก็บความทรงจำผ่านสิ่งละอันพันละน้อยที่เขาสะสมตลอดทั้งทริป เมื่อ Desmond จากไปแล้ว เพื่อนอีก 2 คนได้เปิดกล่องนี้ขึ้นมาอีกครั้ง กลิ่นที่ได้จากกล่องแห่งความทรงจำนี้จึงเป็นแรงบันดาลใจให้เกิดเป็นน้ำหอมกลิ่น Philosykos ที่เมื่อใครได้กลิ่นก็จำทำให้นึกถึงบรรยากาศหมู่เกาะ ทะเล และความสุขจากกรีซนั่นเอง
เมื่อปีฉลองครบ 50 ปีของ Diptyque ที่ผ่านมา ( 2011 ) ทางแบรนด์สร้างกลิ่น ’ 34 ' เพื่อเป็นการรำลึกถึงกลิ่นร้าน Diptyque Flagship ร้านแรก ที่ตั้งอยู่ที่เลขที่ 34 Boulevard Saint Germain ถนนย่านเก่าแก่ดั้งเดิมที่มีร้านรวงสวยงามแห่งปารีส โดยการใช้เทคโนโลยี headspace ในการเก็บกลิ่นจากสถานที่นั้น เพื่อมาสร้างเป็นกลิ่นให้คนทั่วโลกที่ไม่เคยไปเหยียบสถานที่จริง ได้รับประสบการณ์ใกล้เคียงกับการมาที่ร้านจริงมากที่สุด
ทุกภาพบนขวดมีที่มา
ฉลากน้ำหอมของ Diptyque ก็เป็นอีกหนึ่งเอกลักษณ์ที่สวยโดดเด่น เพราะทุกขวดจะเป็นภาพลายเส้นสเก็ตช์บรรยากาศ สถานที่ เนื่องจากกลิ่นหอมจาก Diptyque มักเป็นตัวแทนการเล่าเรื่องราวประสบการณ์ ซึ่งแต่ละกลิ่นจะชวนจินตนาการถึงบรรยากาศหรือฉากที่เป็นแรงบันดาลใจให้ผู้ออกแบบ รวมถึงความทรงจำของอารมณ์ ณ สถานที่นั้นจะถูกตีความออกมาเป็นกลิ่น ฉลากของน้ำหอมแต่ละกลิ่นของ Diptyque ที่เป็นภาพวาดเส้นหมึกดำของสถานที่ต่าง ๆ จึงเป็นตัวบอกเล่าแรงบันดาลใจ และเรื่องราวได้ดีกว่าคำบรรยายใด ๆ
กลิ่นของ Diptyque มักมีความซับซ้อน มีเรื่องราวและเอกลักษณ์อาทิกลิ่นที่ได้แรงบันดาลใจจากการปิคนิคในสวนที่มีต้นแบล็คเคอเร้นท์และกุหลาบ ที่มาของกลิ่น L’ombre dans l’eau อันโด่งดัง กลิ่นความทรงจำในวัยเด็กที่บ้านพักในประเทศเวียดนาม ที่มาของกลิ่น Do Son หรือกลิ่นบรรยากาศ Jazz Bar ข้างร้าน Diptyque ที่ถนน Saint Germain ที่ผู้ก่อตั้งทั้งสามมักไปนั่งพูดคุย หัวเราะ เต้นรำกัน ก็ถูกตีความออกมาเป็นกลิ่น Orphéon ชื่อเดียวกับชื่อ Jazz Bar แห่งนั้น ด้วยวิธีคิดที่แตกต่างเช่นนี้ ทำให้ทุกกลิ่นของ Diptyque มีลายเซ็นเป็นของตัวเองที่ยากจะมีใครเหมือน
FUN FACT : ในปี 1968 Diptyque ได้น้ำหอมกลิ่นแรกของแบรนด์ ซึ่งเป็นน้ำหอม Genderless ถือเป็นการคิดต่างจากน้ำหอมทุกแบรนด์ในช่วงนั้น ที่ระบุว่ากลิ่นนี้เป็นน้ำหอมของผู้หญิงหรือผู้ชาย โดยกลิ่นแรกคือกลิ่น L’EAU ( โล ) มีความหมายว่าน้ำ ถือเป็นการเปิดประตูสู่นิยามใหม่ของน้ำหอมเลยทีเดียว
กลิ่นหอมในที่มารูปแบบอื่น ที่ไม่ใช่น้ำหอม
แม้คนจะคุ้นเคยรูปแบบการใส่น้ำหอม เพื่อกลิ่นหอมบนร่างกาย แต่ Diptyqe ได้นำเสนอผลิตภัณฑ์เครื่องหอมอีกหลายรูปแบบที่จะทำให้ผู้ใช้สนุกขึ้น จากปัญหาที่ว่าบางคนไม่ชอบฉีดน้ำหอมแต่ชอบกลิ่นหอม หรือกลิ่นหอมที่สามารถจางหายไประหว่างวันได้ Diptyqe จึงออก Decorative Perfume หลายรูปแบบ เช่นน้ำหอมชนิดบาล์ม น้ำหอมเข็มกลัด น้ำหอมสร้อยข้อมือ น้ำหอมสติ๊กเกอร์แทททูสำหรับติดลงไปบนผิว นั่นทำให้แบรนด์ดูไม่หยุดนิ่ง มีของใหม่มานำเสนอแก่แฟน ๆ เสมอ ไม่ใช่แค่กลิ่นใหม่ แต่เป็นวิธีใช้ใหม่ให้คนสนุกที่จะลองขึ้น
ด้วยวิธีคิดที่แตกต่าง ทำให้ไม่ว่าเวลาจะผ่านมากว่า 60 ปี เรื่องราวของแบรนด์และกลิ่นหอมของ Diptyque ก็ยังร่วมสมัยอยู่เสมอ และดูจะเป็นที่นิยมขึ้นเรื่อยๆ เพราะคนให้คุณค่ากับเรื่องราว ที่มา และวิธีคิดมากขึ้นเรื่อย ๆ ต้องยอมรับว่า กลิ่นหอม ของ Diptyque หอมร่วมสมัยและมีเอกลักษณ์ที่ยากจะเลียนแบบได้จริง ๆ
FUN FACT : ตัวหนังสือและโลโก้ Diptyque ถูกออกแบบให้มี outline แบบวัดโบราณ แต่ถ้าสังเกตดี ๆ ตัวหนังสือชื่อ Diptyque จะสลับตำแหน่งกัน นั่นเป็นเพราะ Desmond Knox-Leet หนึ่งในผู้ก่อตั้ง ที่เป็นผู้เขียน Calligraphy ชื่อแบรนด์ขึ้นมานี้ เชื่อในเสน่ห์ของความไม่สมบูรณ์แบบมากกว่า และได้กล่าวว่าแม้ตัวหนังสือจะสลับตำแหน่งกัน แต่ก็เชื่อว่าทุกคนสามารถอ่านโลโก้เป็นคำว่า Diptyque ได้เหมือนกัน โดยแบบนี้จะทำให้สะดุดตามากกว่าเสียด้วย