About
Contact Us
© 2020 Contextual Co.,Ltd. All rights reserved
Back To Home
Back To Home

Invisibobble : ที่มัดผมที่เกิดจากความเมาของเจ้าของบริษัท แต่ดีจนถูกก็อปไปทุกตลาดนัด พร้อมโปรดักต์เจ๋ง ๆ อีกเพียบ

เราเชื่อว่าใคร ๆ ก็เคยเห็นที่มัดผมหน้าตาเหมือนสายโทรศัพท์แบบนี้ขายอยู่ทั่วไป แต่จะมีกี่คนที่รู้ว่าแท้จริงแล้วมีแบรนด์ผู้คิดค้นมันขึ้นมาก่อนจะโดนก๊อปไปทั่วทุกตลาดนัด ที่สำคัญพวกเขาไม่ได้มีแค่ที่มัดผมเพียงอย่างเดียว แต่ยังออกสินค้าเจ๋ง ๆ ที่ช่วยแก้ปัญหาด้านผมออกมาอีกเพียบ !  — ว่าแล้ว เรามาดูกันดีกว่าว่ามีอะไรบ้าง
( Photo : Insivibobble US )

จากการหาชุดแต่งตัวไปปาร์ตี้ในธีม “Bad Taste” สู่เทคโนโลยีที่มัดผมสุดล้ำ

คุณอาจจะคิดว่า เทคโนโลยีล้ำ ๆ แบบนี้คงเกิดมาจากการคิดค้นในแล็บใด แล็บหนึ่ง แต่ความจริงแล้ว มันดันเกิดขึ้นมาจาก งานปาร์ตี้และความเมาของ นักศึกษาสาวชาวเดนมาร์กคนหนึ่งที่ชื่อว่า Sophie Trelles-Tvede — เธอเป็นผู้หญิงธรรมดาคนหนึ่งที่เจอปัญหาจากที่มัดผมเหมือนผู้หญิงทั่วไป เธอมักจะปวดหัวตอนเช้า เพราะที่มัดผมที่รัดแน่นเกินไป และสิ่งที่เธอเกลียดที่สุดก็คือ รอยของที่มัดผม ที่ฝากเอาไว้บนเส้นผมเสมอ — แต่ถึงอย่างไร เธอก็คงไม่คาดคิดว่าวันหนึ่ง เธอจะเป็นผู้คิดค้นที่มัดผมยอดขายร้อยล้านชิ้น ด้วยการไปปาร์ตี้ที่มี “ Bad Taste ” เป็นธีมในการแต่งตัว
Sophie สมัยปาร์ตี้ตอนมหาวิทยาลัยและภาพปัจจุบัน ( Photo : BBC , WIZZ&CO , Invisibobble )
ในตอนนั้นเธอได้เลือก “ สายโทรศัพท์ ” มาทำเป็นที่มัดผมโดยไม่ได้คิดอะไรมาก  แต่ความมหัศจรรย์ของมันกลับเกิดขึ้น เมื่อโซฟีตื่นขึ้นมาในตอนเช้า แม้เธอจะมีอาการเมาค้างจากปาร์ตี้เมื่อคืน แต่เธอกลับไม่ปวดหัวเพราะที่มัดผมเช่นเคย แถมที่มัดผมก็ยังมัดอยู่ดี ไม่เคลื่อนไปไหน และเมื่อปล่อยผม ก็ไม่มีรอยกดของที่มัดผมให้เห็นอีกด้วย ! ในวินาทีนั้นเอง โซฟีจึงรู้ว่า เธอได้ค้นพบสิ่งประดิษฐ์ที่จะช่วยผู้หญิงนับล้านได้แล้ว — จากการค้นพบโดยบังเอิญ โซฟีได้นำเรื่องนี้ไปพัฒนากับผู้เชี่ยวชาญเป็นเวลากว่า 6 เดือน จนเกิดเป็นแบรนด์ Invisibobble ในที่สุด
ที่มัดผมสุด iconic ประจำแบรนด์ ( Photo : BuzzFeed )
จุดเด่นของแบรนด์นี้คือเทคโนโลยีที่เรียกว่า “ HAIRLOVETECH ” โดยสายเกลียวที่หน้าตาเหมือนสายโทรศัพท์นี้ จะถ่ายเทน้ำหนัก และผ่อนการกดทับลงบนเส้นผม พร้อม ๆ กับโอบอุ้มผมให้มัดอยู่ทรงเสมอ — สาว ๆ หลายคนติดใจที่มัดผมนี้ เพราะความสบาย และไม่กินผม แถมยังไม่ต้องคอยมัดผมใหม่บ่อย ๆ ที่สำคัญ เมื่อที่มัดผมนี้เริ่มยาน ก็สามารถนำไปแช่น้ำร้อนให้หดตัว และนำกลับมาใช้ใหม่ได้ ! ( รุ่นที่ขายตามตลาดนัด ทำแบบนี้ไม่ได้นะ )
HAIRLOVETECH ที่ทำให้ที่มัดผมเกาะแน่น แต่ไม่เจ็บ ( Photo : Invisibobble )

เมื่อแบรนด์จับเทคโนโลยีมาแต่งตัว

แม้ Invisibobble จะโด่งดังเพราะฟังก์ชั่น แต่พวกเขาก็รู้ว่า ที่มัดผมย่อมมาคู่กับความสวยงามเสมอ พวกเขาจึงพัฒนาที่มัดผมหน้าตาเหมือนสายโทรศัพท์นี้ ให้มีความสวยงาม ตอบโจทย์ความต้องการที่หลากหลายมากยิ่งขึ้น
รุ่น SLIM แบบบาง รุ่นนาโนสำหรับมัดจุกเล็ก และรุ่น SPRUNCHIE แบบมีผ้า ( Photo : Invisibobble )
เริ่มจากง่าย ๆ พวกเขาออกรุ่น NANO ที่เป็นวงจิ๋ว ให้กับคนที่ชอบมัดผมเป็นจุกเล็ก ๆ และอีกจุดหนึ่งที่น่ารัก คือพวกเขาสังเกตเห็นว่า คนชอบสวมที่มัดผมเอาไว้ที่ข้อมือเสมอเพราะกันมันหล่นหาย เขาจึงเริ่มทำที่มัดผมรุ่นบางกว่าปกติชื่อ SLIM ออกมา เพื่อตอบโจทย์คนที่รู้สึกว่าที่มัดผมแบบเดิมมันเทอะทะและใหญ่เกินไปดูไม่สวยงาม  โดยพัฒนาให้คนใช้เป็น accessorie ไปได้เลย โดยการเพิ่มเฉดสี เติมความ metalic วิบวับ ให้เหมือนกับเครื่องประดับของจริง ภายใต้แมสเสจ WRIST UP และยังมีรุ่น charm edition ที่มาพร้อมจี้ห้อยน่ารัก ๆ อีกด้วย
ใส่เป็นกำไลก็เก๋ ๆ แถมบางรุ่นมีจี้มาให้ด้วย ( Photo : The Curl Collection, The OutfitInvisibobble )
แต่สำหรับคนที่ไม่ชอบหน้าตาเจ้าเกลียวนี่เอาเสียเลย พวกเขาได้พัฒนารุ่นผ้าชื่อ SPRUNCHIE ที่จะมองไม่เห็นเกลียวเหมือนสายโทรศัพท์นี้ โดยออกแบบให้มีผ้ามาหุ้มไว้ มาพร้อมกับดีไซน์ผ้าหลากหลายแบบให้เลือกเข้ากับการแต่งตัว นอกจากความสวยงาม ก็ยังได้เรื่องความนุ่มสบาย และช่วยยกโคนผมให้สูงขึ้นไปอีกด้วย
รุ่น Slim และคอลเล็คชั่น SWIM WITH MI x invisibobble® Sprunchie ที่จับมือกับแบรนด์ชุดว่ายน้ำ ออกที่มัดผมแม็ตช์กับชุด มัดผมลงน้ำแบบสวย ๆ ไปเลย ( Photo : Beauticool , SWIM WITH MI )

ช่วย ผม ด้วยยย ! ต่อยอดที่มัดผม อย่างเข้าใจ insights จนเกิด product ที่ตอบโจทย์ทุก pain ของการเก็บผมให้เรียบร้อย

ถ้าเป็นคนอื่นก็อาจจะแค่พัฒนาที่มัดผมให้มีหลาย ๆ สี แต่โซฟีต่อยอดสินค้าของเธอไปมากกว่านั้น — แน่นอนว่าเธอก็ทำที่มัดผมหลากสี เพื่อตอบโจทย์สีผมที่ต่างกันไป แต่เธอมองเห็นว่า ความแตกต่างและความต้องการของสาว ๆ นั้น ยังมีอีกตั้งหลายมิติ และอาจไม่ต้องออกมาเป็นรูปแบบของที่มัดผมเสมอไปก็ได้ เธอจึงออกสินค้าจะช่วยแก้ปัญหาแบบผม ผม ออกมา
รุ่น POWER สำหรับคนออกกำลังกาย
ปัญหาโลกแตกของผู้หญิงเวลาออกกำลังกาย คือ ที่มัดผมชอบลื่นหลุดเวลาขยับเยอะ ๆ ถ้าจะมัดให้แน่นขึ้นอีก ก็ปวดหัวแทน — รุ่น POWER จึงถูกสร้างมาแก้ปัญหานี้โดยเฉพาะ โดยการเพิ่มเกลียวเป็น double helix ช่วยให้ที่มัดผมอยู่แน่นแต่ไม่รัดหัว จะม้วนหน้า ตีลังกา ผมก็อยู่ทรงเหมือนเดิม
รุ่น Power ( Photo : Thumperssalon )
รุ่น KIDS สำหรับคนผมเส้นเล็ก
คนผมเส้นเล็ก จะหาที่มัดผมยาก เพราะรุ่นที่มีมักจะไม่พอดีกับผม — Invisibobble จึงลดขนาดวงให้เล็กลง เพื่อตอบโจทย์คนกลุ่มนี้และเด็ก ๆ
รุ่น KIDS เล็กกว่าเมื่อเทียบกับรุ่น SLIM ( Photo : Beauticool )
WAVER กิ๊บไร้รอย / HAIRHALO ที่คาดผมไม่กดหัว
สิ่งที่ทิ้งรอยบนผมไม่ใช่แค่ที่มัดผม แต่รวมไปถึงกิ๊บติดผมและที่คาดผมเช่นกัน พวกเขาจึงต่อยอดเทคโนโลยีแบบเดิม และ คอนเซ็ปต์ Hair-loving มาสู่การออกแบบสินค้าแบบอื่น ๆ เช่น กิ๊บที่อยู่ทน แต่ไม่ทิ้งรอย หรือที่คาดผมที่สามารถปรับยืดหยุ่นตามทรงหัวได้
กิ๊บติดผม รุ่น Waver และ ที่คาดผม HairHalo ( Photo : Boots , Invisibobble )
VOLUMIZER ผู้ช่วยคนผมน้อย
ผู้หญิงหลายคนที่มีปัญหาหัวแบน หรือ ผมน้อย เวลามัดผมม้าจะออกมาฟีบ ๆ ไม่เป๊ะปังแบบ Ariana Grande — แบรนด์นี้จึงออกอุปกรณ์เสริมชื่อ Volumizer ที่ใช้ร่วมกับที่มัดผมรุ่นมาตรฐาน และช่วยดันให้ผมของคนใช้ดูมีวอลลุ่มและเป็นทรงสูงอย่างเห็นได้ชัด
Volumizer ใส่ปุ๊บ ผมเยอะปั๊บ ( Photo : Invisibobble )
แม้แบรนด์นี้จะเกิดขึ้นจากความบังเอิญ แต่การพัฒนาต่อมานั้นเกิดจากความเข้าใจปัญหาของผู้ใช้อย่างแท้จริง รวมถึงความตั้งใจ ที่พาแบรนด์นี้ไปไกลกว่าแค่ที่มัดผม และสามารถมัดใจคนทุกเพศ ทุกวัย จากทั่วทุกมุมโลก — โชคดีจริงๆ ที่โซฟีเกิดทันยุคโทรศัพท์มีสาย ถ้าเกิดช้ากว่านี้ เราคงไม่มีที่มัดผมดี ๆ ใช้กันแน่
What’s Better?

1) การทดลองนอกกรอบสามารถนำไปสู่ผลลัพธ์ที่ไม่คาดคิดได้ แต่สำคัญกว่านั้นคือ ความมุ่งมั่นพัฒนาอย่างเข้าใจ insights ที่ทำให้สินค้ามีคุณภาพที่ดีที่สุด

2) เข้าใจบริบทของสินค้าที่เกี่ยวข้องกับความงาม ด้วยการพัฒนาเทคโนโลยีให้มีความสวยงามมากขึ้น

3) ต่อยอดเทคโนโลยีเดิมและ core value ของแบรนด์ ออกมาเป็นสินค้าแบบต่าง ๆ ที่เข้าใจและตอบโจทย์ผู้ใช้ที่หลากหลาย
( Cover Photo : Invisibobble Facebook )
# product design
# beauty
# hair band
# invisibobble
# accessories
SHARE NOW :
Posted On 31 Jan 2022